การร่วมมือเพื่อส่งเสริมงานวิจัยและการพัฒนานวัตกรรม
GRI 203-1, 203-2
บริษัทฯ ตระหนักดีถึงความสำคัญของการร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเชิงพาณิชย์จากนวัตกรรม และเล็งเห็นโอกาสของนวัตกรรมแบบเปิด (Open Innovation) ที่จะเป็นช่องทางในการเปิดรับและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แนวคิด รวมถึงประสบการณ์จากภายนอกองค์กร เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ทำให้ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันและยกระดับนวัตกรรมพลังงาน บริษัทฯ มุ่งเน้นการวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมผ่านความร่วมมือต่าง ๆ โดยมีโครงการดังนี้
การพัฒนาโซล่าลอยน้ำทะเลแห่งแรกในประเทศไทย (G-Float)

การร่วมมือเพื่อพัฒนาโครงการนำร่องการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดลอยน้ำทะเล (Floating Solar) หรือ G-Float โดยร่วมมือกับบริษัทในกลุ่มปตท.และบริษัท ผลิตไฟฟ้าและพลังงานร่วม จำกัด (CHPP) ซึ่งเป็นนวัตกรรมทุ่นโซลาร์ลอยน้ำเชิงพาณิชย์ที่รองรับกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่ต้องการใช้พลังงานหมุนเวียนในองค์กร
G-Float ถูกออกแบบให้มีจุดเด่นในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้นวัตกรรมเม็ดพลาสติก (High Density Polyethylene หรือ โพลิเอทิลีนความหนาแน่นสูง) ที่มีคุณสมบัติพิเศษ อาทิ ความยืดหยุ่น แข็งแรง ทนทาน อีกทั้งยังลดการสะสมของเพรียงทะเล และไม่เป็นพิษต่อสัตว์ทะเล G-Float สามารถติดตั้งได้สะดวกรวดเร็วและง่ายต่อการบำรุงรักษา รองรับการติดตั้งแผงโซลาร์ขนาดมาตรฐานจนถึงขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมากขึ้น และมีอายุการใช้งานของวัสดุยาวนานถึง 25 ปี ยังสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้
ประโยชน์เชิงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
- เพิ่มอายุการใช้งานเป็น 25 ปี
- เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าผ่านการใช้วัสดุที่ทนทานต่อการกัดกร่อนได้ดีขึ้น
ประโยชน์เชิงการสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่าย
- ประหยัดค่าไฟฟ้าลง 390,000 บาท (ติดตั้ง 100 กิโลวัตต์)
- สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ตลอดอายุการใช้งานเท่ากับ 7.8 ล้านบาท
ประโยชน์เชิงทรัพยากรมนุษย์และนวัตกรรม
- สร้างโอกาสให้พนักงานของบริษัทฯ ขยายขีดความสามารถ เพิ่มทักษะ และประสบการณ์ด้านระบบพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำทะเล
ประโยชน์อื่นๆ
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 36 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และกว่า 725 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าตลอดอายุการใช้งาน
- เม็ดพลาสติกที่นำมาขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ไม่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ทางทะเล (ได้รับการยืนยันโดยสำนักงานอาหาร และยาประเทศสหรัฐอเมริกา)
- สามารถเป็นตัวอย่างกรณีศึกษา เพื่อการเรียนรู้สำหรับชุมชนที่สนใจเกี่ยวกับระบบพลังงานแสงอาทิตย์
โครงการจัดการพลังงานอัจฉริยะ เพื่อเป็นชุมชนต้นแบบในสถาบันวิทยสิริเมธี (Smart Energy Community at Vidyasirimedhi Institute Of Science And Technology; VISTEC)

การร่วมมือกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการการศึกษาพัฒนาระบบจัดการพลังงานอย่างชาญฉลาดที่ผ่านเทคโนโลยีต่างๆ ณ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) โดยบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางพลังงานใหม่ๆ เพื่อใช้ศึกษาเป็นแนวทางในการต่อยอดและใช้งานได้จริงในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอย่างมีเสถียรภาพ (Solar Rooftop และ Solar Floating) การใช้ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบพลังงานหมุนเวียน การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) มาวิเคราะห์การผลิต จัดเก็บ และส่งกระแสไฟฟ้า ตลอดจนการประยุกต์ใช้ระบบโครงข่ายในการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์ (Blockchain) เพื่อให้แต่ละอาคารสามารถซื้อขายไฟแบบเชื่อมต่อโครงข่ายโดยตรง ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ (Peer - to - Peer: P2P) ซึ่งสามารถทำธุรกรรมแบบดิจิทัล ที่มีการกำหนดไว้ล่วงหน้าแบบอัตโนมัติ (Smart Contract) โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางและแสดงผลการทำงานแบบตอบสนองทันที (Real Time) เป็นต้น
ประโยชน์เชิงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
- เพิ่มสัดส่วนการผลิตพลังงานหมุนเวียนภายในอาคารกว่าร้อยละ 38.5
ประโยชน์เชิงการสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่าย
- ได้รับรายได้จากการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 1.75 ล้านบาท ในระยะแรก และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.16 ล้านบาทในปี 2564 รวมเป็น 5.8 ล้านบาท
ประโยชน์เชิงทรัพยากรมนุษย์และนวัตกรรม
- เสริมทักษะความรู้ด้านนวัตกรรมพลังงานหมุนเวียนเพื่อใช้ต่อยอดลงทุนในอนาคต
- พนักงานบริษัทฯ สามารถเข้าถึงรูปแบบเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนดาดฟ้าอาคารและลอยน้ำ รวมถึงการใช้งานระบบกักเก็บไฟฟ้า
- ตอบสนองนโยบายหลักของบริษัทฯ ที่ต้องการผลักดันการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นประโยชน์ต่อชุมชนบริเวณใกล้เคียง
- ใช้เป็นกรณีศึกษาด้านนวัตกรรมของกลุ่มธุรกิจไฟฟ้า รวมถึงการต่อยอดแนวทางการจัดการพลังงานที่หลากหลายในอนาคต
ประโยชน์อื่นๆ
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1,211,306 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
- จัดตั้งเป็นศูนย์กลางเรียนรู้ด้านพลังงานหมุนเวียนสำหรับชุมชน
- สร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบริษัทฯ และชุมชนบริเวณใกล้เคียง
- สนับสนุนให้นักศึกษาในสถาบัน VISTEC เข้าร่วมศึกษาเรียนรู้และทดลองใช้นวัตกรรม
โครงการนวัตกรรมพลังงานอัจฉริยะ เพื่อการพัฒนาและใช้พลังงานทดแทนอย่างยั่งยืน ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (Smart Energy Project, The Model Learning Center of Energy Management for Sustainability at Suranaree University of Technology; SUT)


บริษัทฯ ร่วมมือกับบริษัท ผลิตไฟฟ้าและพลังงานร่วม จำกัด (CHPP) บริษัท นูออโว พลัส จำกัด (Nuovo Plus) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) เพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ภายในอาคารของมหาวิทยาลัยฯ และร่วมมือวิจัยและพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญของประเทศไทย ผ่านการติดตั้งระบบไฟฟ้า 3 ส่วน ที่มีกำลังการผลิตรวม 6 เมกกะวัตต์ ได้แก่
1) Solar rooftop ที่ใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบ Mono PERC Half-Cell Module ที่มีคุณสมบัติพิเศษผลิตจากซิลิกอน เซลล์ขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูง อายุการใช้งานที่ยาวนาน
2) Solar Rooftop ที่ใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบ Bifacial Cells มีความโดดเด่นด้านการออกแบบเพื่อให้แสงส่องผ่านได้ทั้ง 2 ด้านเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
3) Floating Solar ด้วยทุ่นลอยน้ำ G Float ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของ CHPP ที่ใช้วัตถุดิบเป็นเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนเกรดพิเศษที่ผสมสารกันแสง UV มีคุณสมบัติคงทนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังสามารถนำกลับไปสู่กระบวนการรีไซเคิลได้หลังจากสิ้นสุดอายุการใช้งาน
นอกจากนี้ ยังได้นำระบบดิจิทัลเพื่อการบริหารจัดการการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควบคู่กับการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System: BESS) ที่มีขนาด 100 กิโลวัตต์/200 กิโลวัตต์-ชั่วโมง เพื่อเป็นโครงข่ายนวัตกรรมพลังงานหมุนเวียนอัจฉริยะในสถาบันอุดมศึกษาของประเทศไทย และเป็นสถาบันการศึกษาต้นแบบของระบบการบริหารจัดการไฟฟ้าอัจฉริยะหรือ Smart Grid ที่สามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาไปสู่เมืองอัจฉริยะหรือ Smart City ได้ในอนาคตของจังหวัดนครราชสีมา
โครงการนี้ ยังมุ่งหวังการพัฒนาต้นแบบในด้านการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer to Peer Trading พร้อมกับสามารถรายงานผลการซื้อขายได้แบบ Real-time จึงได้ติดตั้งระบบ BESS และระบบ Monitoring Platform ซึ่งเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อทำการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลาให้สอดรับกับการผลิตกระแสไฟฟ้า นับเป็นการพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Trading Platform) ที่จะเป็นการรองรับการจัดการพลังงานแบบครบวงจรอย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์เชิงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
- เพิ่มการผลิตพลังงานหมุนเวียนภายในมหาวิทยาลัยฯ 8.5 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี
ประโยชน์เชิงการสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่าย
- ลดค่าไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยฯ ได้ถึง 510 ล้านบาทตลอดอายุโครงการ 25 ปี
ประโยชน์เชิงทรัพยากรมนุษย์และนวัตกรรม
- เสริมทักษะความรู้ด้านนวัตกรรมพลังงานหมุนเวียนเพื่อใช้ต่อยอดลงทุนในอนาคต
- พนักงานบริษัทฯ สามารถเข้าถึงรูปแบบเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนดาดฟ้าอาคารและลอยน้ำ รวมถึงการใช้งานระบบกักเก็บไฟฟ้า
- ตอบสนองนโยบายหลักของบริษัทฯ ที่ต้องการผลักดันการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นประโยชน์ต่อชุมชนบริเวณใกล้เคียง
- ใช้เป็นกรณีศึกษาด้านนวัตกรรมของกลุ่มธุรกิจไฟฟ้า รวมถึงการต่อยอดแนวทางการจัดการพลังงานที่หลากหลายในอนาคต
ประโยชน์อื่นๆ
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 115,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าตลอดอายุโครงการ 25 ปี หรือ 4,600 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
- Floating Solar ลดการระเหยน้ำในอ่างเก็บน้ำมากกว่า 30,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี
- เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานหมุนเวียนเพื่อชุมชน
- สร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบริษัทฯ และชุมชนบริเวณใกล้เคียง
- สนับสนุนให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัย SUT เข้าร่วมศึกษาเรียนรู้และทดลองใช้นวัตกรรม
นวัตกรรมแบตเตอรี่แห่งอนาคต G-Cell Battery


จากความร่วมมือกับบริษัท 24M Technologies, Inc ที่มีความเชียวชาญด้านแบตเตอรี่ประเภทลิเทียม-ไอออน (Lithium-Ion) ในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อวิจัยพัฒนาแบตเตอรี่ชนิด Semi-Solid ที่มีชื่อว่า G-Cell เพื่อรองรับการขยายตัวเชิงพาณิชย์ โดยมีความโดดเด่น คือ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานหรือมีวัฏจักรในการชาร์จใหม่ได้มากถึง 1000-10,000 ครั้ง และมีระยะเวลากักเก็บพลังงานไฟฟ้านานถึง 350 วันซึ่งมากกว่าแบตเตอรี่ลิเที่ยมทั่วไปถึง 1.2 เท่า แบตเตอรี่ นอกจากนี้ ยังสามารถควบคุมอุณหภูมิของตัวเองได้แม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงเพื่อลดโอกาสการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรภายในแบตเตอรี่ รวมถึงมีน้ำหนักเบาและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยไม่ใช้สารยึดเกาะ (No binder) ส่งผลให้เซลล์แบตเตอรี่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ง่ายขึ้นด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าแบตเตอรี่ชนิดอื่นๆ
G-Cell สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์หลากหลาย ทั้งแบบอยู่กับที่ (Stationary) และแบบเคลื่อนที่ (Mobile) ผ่านการดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ อาทิ G-Pack และ G-Box รวมถึงรองรับเทคโนโลยีแห่งอนาคต เช่น ระบบสถานีชาร์จ ระบบโทรคมนาคมและ Data Center ที่ต้องการเสถียรภาพของระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้า
ระบบสถานีชาร์จ ระบบโทรคมนาคมและ Data Center ที่ต้องการเสถียรภาพของระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้า บริษัทฯ ได้ต่อยอดความสำเร็จ โดยการร่วมทุน กับบริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) ในการก่อตั้งบริษัท นูออโว พลัส จำกัด (NUOVO PLUS) เพื่อมุ่งเน้นการผลิตและการพัฒนาแบตเตอรี่โดยเฉพาะ เพื่อให้การต่อยอดนวัตกรรมแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการในตลาดเกิดใหม่ โดยในขณะเดียวกัน บริษัทฯ จะมุ่งเน้นพัฒนาการใช้งานแบตเตอรี่ในภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า (EVs) ระบบการสำรองพลังงาน ระบบกักเก็บพลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน การพัฒนาเสถยีรภาพและความมั่นคงทางพลังงานของระบบโทรคมนาคมและศูนย์กักเก็บข้อมูล เพื่อสนับสนุนการลงทุนในห่วงโซ่ธุรกิจแบตเตอรี่ (Battery Value Chain) ตามนโยบายขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์และกักเก็บพลังงานของประเทศและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงระดับสากล รวมถึงการผลักดันกลุ่ม ปตท. เพื่อขับเคลื่อนสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ยานยนต์ไฟฟ้าและมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่อไป
ประโยชน์เชิงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
- สามารถลดเวลาในการผลิต และลดต้นทุนลงได้ร้อยละ 50
- ลดการใช้สารเคลือบในชิ้นส่วนแบตเตอรี่ลงร้อยละ 30 ส่งผลให้แบตเตอรี่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น
ประโยชน์เชิงการสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่าย
- คาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 2,500 ล้านบาทต่อปีจากผลิตภัณฑ์ G-Cell จากการคาดการณ์กำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์-ชั่วโมง
- มุ่งเป้าหมายกำลังการผลิตแบตเตอรี่ 5-10 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) ต่อปี ในปี 2573 (2030)
- สร้างรายได้ประมาณ 3,000 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ในปี 2568
- ลดค่าภาษีนำเข้าของระบบกักเก็บพลังงานจากต่างประเทศลง ร้อยละ 23
ประโยชน์เชิงทรัพยากรมนุษย์และนวัตกรรม
- สร้างทักษะให้พนักงานจากการร่วมศึกษาวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญด้านระบบกักเก็บพลังงานในระดับสากล
- ยกระดับการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประโยชน์อื่นๆ
- แบตเตอรี่มีความปลอดภัยสูง สามารถควบคุมอุณหภูมิภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- ผลิตโดยชิ้นส่วนที่ใช้สารเคลือบน้อยกว่าปกติร้อยละ 40 ส่งผลให้แบตเตอรี่สามารถนำไปรีไซเคิลง่ายขึ้น สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน