กลยุทธ์การดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม

GRI 2-23, 2-24, 3-3

บริษัทฯ มีการดำเนินงานภายใต้นโยบายการบริหารจัดการความยั่งยืนและนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยดำเนินการผ่านโครงการพัฒนาสังคมและชุมชนในรูปแบบต่างๆ ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์และทิศทางในการดำเนินธุรกิจขององค์กร รวมทั้งมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีส่วนได้เสียรอบพื้นที่การดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน

นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
GPSC CSR Strategy (2563 - 2567)
คู่มือการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนสัมพันธ์

แนวทางการบริหารจัดการเพื่อการอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน

GRI 3-3, 413-1
กรอบกลยุทธ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม

บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพราะเชื่อว่าการที่ธุรกิจจะพัฒนาอย่างยั่งยืนได้นั้น ชุมชนและสังคมจะต้องเติบโตไปพร้อมกัน ดังนั้น บริษัทฯ จัดทำกระบวนการมีส่วนร่วมกับชุมชนในทุกพื้นที่การดำเนินงาน (ร้อยละ 100) เพื่อรับฟังข้อกังวลและความสนใจและนำมาพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานในพื้นที่และอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน โดยบริษัทฯ มีกรอบกลยุทธ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมที่สอดคล้องกับแนวทางที่เป็นมาตรฐานสากล เช่น Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยผนวกความเชี่ยวชาญทางธุรกิจของบริษัทฯ เข้าไปในกระบวนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสำคัญของชุมชนและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม

กลยุทธ์ในการสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อสังคมของบริษัทฯ ตั้งอยู่บนหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ

  • เป็นกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับภารกิจองค์กรและเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
  • เป็นการใช้ความเชี่ยวชาญ ทักษะและสมรรถนะหลักขององค์กร เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และต่อยอดไปสู่การพัฒนาชุมชน
  • คำนึงถึงความต้องการและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีส่วนได้เสียรอบพื้นที่การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ

สำหรับกิจกรรม CSR ที่ GPSC ให้ความสำคัญนั้นแบ่งออกเป็น 4 ด้านหลักๆ คือ การเข้าถึงพลังงาน คุณภาพชีวิต ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมที่ยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางด้านความรับผิดชอบต่อ สังคมของกลุ่มปตท.และแนวทางที่เป็นมาตรฐานสากล นอกจากนี้ เราได้มีการตั้งเป้าหมายและตัวชี้วัดต่างๆ ให้ ครอบคลุมทั้ง 4 ด้านเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนกับชุมชนและสังคม

  • การเข้าถึงพลังงาน
  • คุณภาพชีวิต
  • ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • นวัตกรรมที่ยั่งยืน

เป้าหมายและผลการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการอยู่ร่วมกันกับชุมชนอย่างยั่งยืน

  • ผลการสำรวจความพึงพอใจของชุมชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 ทุกๆ ปี ที่ทำการสำรวจ และคงไว้ที่ระดับร้อยละ 80 หรือมากกว่า หรือไม่ให้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทอื่นๆ ซึ่งอยู่ในธุรกิจเดียวกัน
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่น้อยกว่า 1,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ภายในปี 2568
  • ประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI) ใน กิจกรรม 4 ด้านหลักๆ โดยมีค่า SROI ≥1.15

บริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมตามแผนการดำเนินงานซึ่งสามารถสรุปเป็นตัวชี้วัดที่มีนัยสำคัญได้ดังนี้

  1. 1. ด้านเศรษฐกิจ

    ตัวชี้วัดที่สำคัญของด้านเศรษฐกิจส่วนใหญ่มาจากโครงการที่สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยมีการประมาณรายได้ในปี 2567 ดังนี้

    1. 1.1 คาดการณ์รายได้จากการขายผักและกาแฟ จากโครงการ Smart Farming = 1,450,000 บาทต่อปี
    2. 1.2 รายได้จากการขายขยะและสินค้าแปรรูปจากขยะของชุมชนบ้านไผ่ จ.ระยอง = 1,236,815 บาทต่อปี
    3. 1.3 รายได้จากการฝึกงานติดตั้งโซลาร์ของผู้เข้าอบรมบางส่วนในโครงการโซลาร์แมน 82,150 บาทต่อปี
  2. 2. ด้านสังคม

    นอกจากจำนวนผู้รับผลประโยชน์ในโครงการแล้ว ตัวชี้วัดทางด้านสังคมอีกตัวหนึ่งที่องค์กรให้ความสำคัญ ได้แก่ การประเมินผลตอบแทนทางสังคม (SROI) เพื่อประเมินความคุ้มค่าทั้งก่อนการดำเนินโครงการสำหรับโครงการใหม่ๆ และหลังการดำเนินโครงการสำหรับโครงการที่บริษัทฯ ดำเนินการมาระยะเวลาหนึ่ง โดยในปี 2567 ได้มีการประเมินผลตอบแทนทางสังคมของโครงการใน 4 ด้านหลักๆ ได้แก่ ด้านการเข้าถึงพลังงาน (โครงการคนมีไฟ), ด้านนวัตกรรมที่ยั่งยืน (โครงการ EV One-stop Service), ด้านคุณภาพชีวิต (โครงการโซลาร์แมน/โครงการ GPSC Rayong Young Designer) และด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (โครงการศูนย์การจัดการขยะบ้านไผ่) โดยมีค่า SROI อยู่ในช่วง 2.17-14.59

  3. 3. ด้านสิ่งแวดล้อม

    ตัวชี้วัดสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันคงหนีไม่พ้นปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมเป้าหมายขององค์กรในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emissions กิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมที่สามารถช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ในปี 2567 นั้นมีด้วยกัน 3 โครงการหลักๆ คือ

    1. 3.1 ปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกจากโครงการ Light for a Better Life (LBL) = 350. 10 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
    2. 3.2 ปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกจากโครงการปลูกป่า = 285.70 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
    3. 3.3 ปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกจากการรับซื้อขยะของโรงไฟฟ้า RDF และศูนย์การเรียนรู้ การจัดการขยะชุมชนบ้านไผ่ = 8.84 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
  4. 4. ด้านธุรกิจ

    นอกจากตัวชี้วัดใน 3 ด้านที่กล่าวมาแล้ว บริษัทฯ ยังมีตัวชี้วัดอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับภาพลักษณ์และการดำเนินงานด้านความยั่งยืนขององค์กรอีกด้วย ซึ่งตัวชี้วัดดังกล่าว ได้แก่

    1. 4.1 จำนวนพนักงานจิตอาสาและจำนวนชั่วโมงที่เข้าร่วมกิจกรรม CSR = 326 คน จำนวนรวม 1,317 ชั่วโมง
    2. 4.2 ผลสำรวจความพึงพอใจร้อยละ 80.18

ด้านการมีส่วนร่วมกับภาคประชาชน

GRI 413-1, 413-2

บริษัทฯ มีส่วนสนับสนุนและเข้าร่วมกิจกรรมสาธารณประโยชน์และส่งเสริมกิจกรรมด้านประเพณี วัฒนธรรม และศาสนาที่จัดโดยชุมชนอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมกับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงเป็นประจำ เพื่อชี้แจงสร้างความเข้าใจต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ และสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนในรูปแบบต่างๆ ภายใต้โครงการเคียงบ่าเคียงไหล่ เช่นการประชุมคณะกรรมการไตรภาคี การประชุมคณะกรรมการตรวจติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA Monitoring) การพบปะเยี่ยมเยือนชุมชน กิจกรรมเปิดบ้าน (Open House) การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย (Public Hearing) เป็นต้น ซึ่งความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากกระบวนการมีส่วนร่วมเหล่านี้เป็นข้อมูลสำคัญที่บริษัทฯ นำมาพัฒนา เป็นกลยุทธ์การดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมที่สอดคล้องกับความคาดหวังของชุมชนและสังคม เพื่อให้มีทิศทางการดำเนินงานที่ชัดเจนและยั่งยืน ตลอดจนมีการติดตามผลลัพธ์และผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามกลยุทธ์ที่กำหนด

นวัตกรรมพลังงาน

GRI 413-2

บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงพลังงานไฟฟ้าได้อย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้งสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยบริษัทฯ ในฐานะแกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. มีความมุ่งมั่นที่จะนำทักษะ ความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบไฟฟ้า มาใช้เพื่อส่งมอบพลังงานสะอาดให้กับชุมชน สอดรับกับทิศทางพลังงานโลกและแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ของไทยที่มุ่งไปสู่พลังงานสะอาด และเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 (พ.ศ. 2608)

SDG 7: AFFORDABLE AND CLEAN ENERGY

โครงการ Light for a Better Life (LBL) เป็นโครงการดูแลช่วยเหลือสังคมโดยใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี่และองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญของพนักงานในกลุ่มบริษัทฯ เพื่อดูแลระบบไฟฟ้าให้กับชุมชน สังคม สะท้อนการเป็นบริษัทแกนนำนวัตกรรมพลังงานไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. โดยใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของพนักงาน (Expertise) เพื่อดูแลผู้คนในชุมชน สังคม และประเทศชาติ (People of the Planet) ใน 4 ด้านหลัก ๆ คือ ความปลอดภัย (Safety) ความประหยัด (Saving) ความมั่นคงทางพลังงาน (Security) และ เศรษฐกิจ-สังคม (Socio-Economic)

Safety

ปรับปรุง ซ่อมแซมระบบไฟฟ้าให้กับสาธารณสถาน อาทิ โรงเรียน วัด สถานพยาบาลท้องถิ่น เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินจากการเกิดเพลิงไหม้ ไฟฟ้าลัดวงจร รวมถึงการซ่อมแซมและฟื้นฟูระบบไฟฟ้าให้กับหน่วยงานราชการท้องถิ่นกรณีประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ

Saving

ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อประหยัดพลังงาน รวมถึงการติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและสามารถนำเงินที่ประหยัดได้ไปพัฒนาหรือทำกิจกรรมอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อหน่วยงาน

Security

ติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานทางเลือกในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้คนในชุมชนและสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดอุปสรรคในการใช้ชีวิต รวมถึงเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้า เช่น การติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ให้แก่ โรงพยาบาล สถานบริการด้านสาธารณสุข และสถานศึกษาในพื้นที่ห่างไกล เป็นต้น

Socio-economic

สร้างและส่งเสริมอาชีพให้กับคนในชุมชน โดยการฝึกอบรมคนในชุมชนให้มีทักษะอาชีพสามารถเป็นช่างไฟฟ้าพื้นฐาน ดูแลครัวเรือนชุมชนของตนเองและก่อให้เกิดรายได้เสริม หรืออาจพัฒนาเป็นรายได้หลักให้กับตนเองต่อไป

โครงการ LBL ถือว่าเป็นโครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ เนื่องจากสอดคล้องกับธุรกิจและความเชี่ยวชาญขององค์กร รวมทั้งเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) และทิศทางด้านพลังงานของโลก ซึ่งภายใต้โครงการนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้า “โครงการคนมีไฟ” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยร่วมมือกับพันธมิตรอย่างกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการนาพลังงานจากแสงอาทิตย์มาใช้ลดค่าไฟฟ้าให้กับหน่วยงานสาธารณประโยชน์ โดยกำหนดให้ผู้รับผลประโยชน์นำค่าไฟที่ประหยัดได้ไปต่อยอดให้เกิดโครงการพัฒนาชุมชนโดยรอบอย่างยั่งยืน โดยในปี 2567 มีหน่วยงานให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการคนมีไฟ ปีที่ 2 ทั้งสิ้น 42 หน่วยงาน และมี 10 หน่วยงานที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการ

สรุปกำลังการผลิตติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ทั้ง 10 แห่ง รวม 106.25 กิโลวัตต์สูงสุด โดยคาดว่าจะประหยัดค่าไฟได้ทั้งสิ้น 668,561.04 บาท และลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ได้ 75.57 ตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่าต่อปี

นอกเหนือจากโครงการคนมีไฟแล้ว บริษัทฯ ยังมีหน่วยงานภายนอกอื่นๆ ที่ได้รับการสนับสนุนระบบไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์จากบริษัทฯ เช่น ศูนย์พัฒนากีฬากรมการทหารช่าง ค่ายบุรฉัตร จังหวัดราชบุรี ที่บริษัทฯ ได้ติดตั้งระบบขนาดไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ขนาด 16.12 กิโลวัตต์สูงสุด ให้ และได้ให้ความรู้ด้านการบำรุงรักษาระบบกับทหารที่ประจาการอยู่ที่นั่น นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้จับมือกับ บริษัท ชิน-เอทซุ ซิลิโคนส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นลูกค้า ในการติดตั้งระบบ

ไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ขนาด 3.3 กิโลวัตต์สูงสุด ให้กับโรงเรียนวัดเนินกระปรอก อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ซึ่งมีนักเรียนประมาณ 300 คน เพื่อลดค่าไฟฟ้าและดูแลแปลงเกษตรให้กับโรงเรียน

จนถึงปัจจุบัน มีหลายหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนการติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากบริษัทฯ และยังคงได้รับประโยชน์จากค่าไฟฟ้าที่ลดลง คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3,309,461.53 บาทต่อปี ในปี 2567 และเฉพาะโครงการที่ติดตั้งในปี 2567 อย่างเดียวสามารถประหยัดค่าไฟได้ทั้งสิ้น 132,655.42 บาท

คุณภาพชีวิต

GRI 413-2

บริษัทฯ มีนโยบายในการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนและสังคม ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ มีอาชีพรองรับ มีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดี ส่งผลให้สุขภาพใจและกายที่สมบูรณ์ โดยได้ดำเนินโครงการดังนี้

SDG 3: GOOD HEALTH AND WELL-BEING

GPSC ได้ร่วมกับวิทยาลัยเทคนิคระยอง จัดอบรมหลักสูตรเทคนิคการติดตั้งและบารุงรักษาระบบเซลล์แสงอาทิตย์ เพื่อพัฒนาทักษะการติดตั้งโซลาร์เซลล์อย่างถูกต้องและปลอดภัยให้กับนักเรียน นักศึกษาและชุมชนในพื้นที่ ภายใต้โครงการโซลาร์สร้างอาชีพสู่ชุมชนยั่งยืน (โซลาร์แมน) ไปเมื่อวันที่ 6–10 พ.ค. 2567 โดยมีผู้เข้าอบรมทั้งสิ้น 20 คน และมี 8 คนที่ได้มีโอกาสไปฝึกงานและนาความรู้ที่ได้ไปต่อยอดเป็นอาชีพสร้างรายได้ให้กับตนเองและชุมชน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 82,150 บาท

จากอุทกภัยร้ายแรงที่เกิดขึ้นในภาคเหนือตอนบน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ของ จังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา และแพร่ ช่วงที่ผ่านมานั้นเกิดจากฝนที่ตกต่อเนื่องจากอิทธิพลของร่องมรสุมที่พาดผ่านทางตอนบนของภาคเหนือ ส่งผล ให้เกิดน้ำท่วมอย่างหนัก ผู้บริหารและพนักงานกลุ่ม ปตท. รวมทั้ง GPSC ได้ร่วมบริจาคและบรรจุถุงยังชีพ น้ำดื่ม ยารักษาโรค รวมถึงสิ่งของจำเป็นต่างๆ เพื่อส่งต่อความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ดังกล่าว รวมเป็นเงิน 95,105 บาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เตรียมถุงยังชีพสำรองไว้เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติที่ คาดว่าจะเกิดบ่อยครั้งขึ้นในอนาคตเตรียมถุงยังชีพสำรองไว้ในกรณีฉุกเฉิน เพื่อเยียวยาหรือบรรเทาความเสียหาย ในเบื้องต้นได้อย่างทันท่วงที

บริษัทฯ ร่วมกับ Kloset แบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับประเทศ จัดทำโครงการ “GPSC Rayong Young Designer” ให้กับนักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตระยอง วัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรง บันดาลใจในการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ให้กับนักศึกษา โดยเน้นการนำเอกลักษณ์ท้องถิ่นของจังหวัด ระยองมาเป็นไอเดียในการออกแบบ โดยนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการอบรมและเข้าร่วมในการประกวด เพื่อให้ได้มาซึ่งแนวคิดและลวดลายที่บริษัทฯ จะนำไปผลิตเป็นของขวัญปีใหม่ ประจำปี 2568 ต่อไป ซึ่งมี นักศึกษาให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 64 คน และมีผลงานที่ออกแบบโดยนักศึกษาที่ผ่านการอบรม ทั้งสิ้น 27 ผลงาน

บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาของเด็กและเยาวชน โดยได้มอบทุนการศึกษาให้กับเด็กใน ชุมชนอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ซึ่งจากการสานเสวนากับชุมชนรอบพื้นที่ตั้งโรงงาน รวมทั้งผลการ สำรวจความพึงพอใจของชุมชนที่ผ่านๆ มาพบว่า โครงการด้านการศึกษา เป็นโครงการที่ตอบโจทย์ ความต้องการของชุมชนมากที่สุด โดยในปี 2567 บริษัทฯ ได้มอบทุนการศึกษาให้กับเด็กและนักศึกษา ใน 38 ชุมชน และ 10 กลุ่มประมง ครอบคลุม 6 อำเภอ ในจังหวัดระยองและชลบุรี

การดำเนินมาตรการสนับสนุนด้านการศึกษานี้ถูกกำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ของกลุ่มบริษัท GPSC ได้ดำเนิน โครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบันมีผู้ได้รับทุนการศึกษาฯ นี้ไปแล้วทั้งสิ้น 39 ราย โดย 30 ราย จบการศึกษาไปแล้ว และอีก 9 ราย กำลังศึกษาอยู่

อีกทั้งบริษัทยังได้ร่วมกับ กลุ่ม ปตท. สนับสนุนทุนการศึกษาให้กับโรงเรียนกำเนิดวิทย์ (KVIS) และ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สร้างบุคลากรที่จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนขึ้นอย่างรอบด้าน

ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

GRI 413-2

บริษัทฯ ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในพื้นที่และชุมชนใกล้เคียงกับพื้นที่ดำเนินการของบริษัทฯ โดยได้มีโครงการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ สร้างสมดุลของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด โดยกิจกรรมด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สำคัญในปี 2567 ได้แก่ 1) โครงการ GPSC ฟื้นฟูระบบนิเวศป่าไม้เพื่อกักเก็บคาร์บอน มุ่งสู่ Net Zero 2) โครงการปลูกป่าและสร้างฝายชะลอน้าที่ GPSC ได้ดาเนินการมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและฟื้นฟูระบบนิเวศ รวมทั้งช่วยดูดซับคาร์บอน และ 3) โครงการด้านการจัดการขยะ ซึ่งยังคงเป็นโครงการที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญและส่งเสริมให้ชุมชนดาเนินการมาโดยตลอดเพื่อบรรลุเป้าหมายของการเป็นชุมชนปลอดขยะ หรือ Zero Waste Village

SDG 12: RESPONSIBLE CONSUMPTION AND PRODUCTION
SDG 13: CLIMATE ACTION

บริษัทฯ ได้กำหนดกลยุทธ์ด้านการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีทางธรรมชาติ โดยการปลูกป่าเพื่อให้เป็นแหล่งดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงมีเป้าหมายในการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าอย่างมีส่วนร่วมกับชุมชน เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ทั้งในด้านการดูแลรักษาป่า การเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ การส่งเสริมรายได้จากการจ้างงาน รวมถึงการสร้างแหล่งอาหาร แหล่งสมุนไพรตามธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้แก่ชุมชนโดยรอบ โดยมีเป้าหมายการปลูกอยู่ที่ 10,000 ไร่ ภายในปี 2573 เริ่มตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการปลูกร่วมกับกรมป่าไม้เป็นจำนวน 230 ไร่ ที่จังหวัดเลย

ส่วนในปีนี้ บริษัทฯ ได้ทำการศึกษาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของการปลูกป่าร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งคณะกรรมการจัดการบริษัทฯ ได้อนุมัติกรอบงบประมาณและแนวทางในการดำเนินการปลูกป่า โดยจะดำเนินการปลูกป่าปีละ 3,000 ไร่ ในปี 2568 และปลูกจนครบ 10,000 ไร่ ภายในปี 2573 ตามคำมั่นที่ให้ไว้กับกลุ่ม ปตท. ซึ่งเป็นแนวทางสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ของบริษัทฯ ควบคู่กับการสร้างคุณค่าด้านอื่นๆ เช่น ความหลากหลายทางชีวภาพ และการลดความเหลื่อมล้าในสังคม

นอกเหนือจากปลูกป่าตามประกาศเจตนารมณ์ร่วมกับกลุ่ม ปตท. บริษัทฯ ยังได้ทำการปลูกป่า จานวน 1,000 ต้น บนพื้นที่ 10 ไร่ในพื้นที่จังหวัดระยอง ประกอบด้วยพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นยางนา ตะเคียนทอง พยูง หรือไผ่หวาน เพื่อช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาหาร แหล่งปลูกพืชสมุนไพร และแหล่งท่องเที่ยว ที่ชาวบ้านสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการปลูกป่าในจังหวัดระยองมาตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน รวมจำนวนต้นไม้ที่ปลูกทั้งสิ้น 17,000 ต้น คิดเป็นพื้นที่ 114 ไร่

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ดำเนินโครงการสร้างฝายชะลอน้า จำนวน 10 ฝาย ณ ป่าชุมชนบ้านภูดรห้วยมะหาด ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง โดยได้ดำเนินโครงการสร้างฝายชะลอน้า ตั้งแต่ปี 2558 รวมจำนวน 177 ฝาย เพื่อช่วยชะลอน้าในช่วงฤดูฝน ช่วยป้องกันการกัดเซาะพังทลายของดิน ลดความรุนแรงของกระแสน้าในลำห้วย เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่ป่า และสร้างความหลากหลายทางชีวภาพให้กับพื้นที่อีกด้วย

บริษัทฯ ได้เป็นพี่เลี้ยงให้กับชุมชนบ้านไผ่ (วิสาหกิจธนาคารขยะออมทรัพย์บ้านไผ่) หมู่ 1 ตำบลหนองตะพาน อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนที่ตั้งอยู่เขตรัศมี 5 กิโลเมตรรอบพื้นที่โรงงาน RDF ของบริษัทฯ โดยริเริ่มส่งเสริมและพัฒนากระบวนการบริหารจัดการขยะอย่างครบวงจรให้ชุมชนมาตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังสร้างอาคารธนาคารขยะ รวมทั้งพัฒนาองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการขยะ ทำให้ชุมชนกลายเป็นศูนย์การเรียนรู้สำหรับผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาดูงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากขยะ ทั้งในรูปแบบ Recycle (รีไซเคิล) และ Upcycle (อัพไซเคิล) รวมทั้งการพัฒนาเครื่องจักรแปรรูปขยะพลาสติก โดยผลการดำเนินงานของชุมชนบ้านไผ่ (วิสาหกิจธนาคารขยะออมทรัพย์บ้านไผ่) ตั้งแต่เดือนมกราคม-ธันวาคม 2567 สามารถสรุปได้ ดังนี้

คุณค่าต่อชุมชนและสังคมของโครงการ

  • รายได้ของชุมชนจากการขายผลิตภัณฑ์จากขยะ รวมทั้งสิ้น 1,236,815 บาท
  • การบริหารจัดการเพื่อลดปริมาณขยะ รวมทั้งสิ้น 5,074.25 กิโลกรัม
  • จำนวนผู้สนใจเข้ามาศึกษาดูงานจากทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 5,797 คน
  • ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SORI) 2.37

GPSC ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการคัดแยกขยะค่าความร้อนสูงจากธนาคารขยะชุมชน จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ ศูนย์บริหารจัดการคัดแยกขยะรีไซเคิลชุมชนวัดชากลูกหญ้า, ธนาคารขยะชุมชนเขาไผ่, ธนาคารเพื่อสิ่งแวดล้อมชุมชนเนินพยอม และศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะชุมชนบ้านไผ่ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ ให้กลายเป็นเชื้อเพลิง RDF โดยมีผลการดำเนินงานตั้งแต่เดือนมกราคม-ธันวาคม 2567 ดังนี้

  • บริหารจัดการขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ รวมทั้งสิ้น 3,450 กิโลกรัม
  • เทียบเท่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งสิ้น 1,501 กิโลกรัมต่อคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

นวัตกรรมที่ยั่งยืน

GRI 413-2

ในฐานะที่เป็นแกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้า กลุ่ม ปตท. บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรมต่อการพัฒนาองค์กร และส่งเสริมให้มีการนำนวัตกรรมมาใช้ทั้งในเชิงธุรกิจและสังคมเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลกในยุคปัจจุบัน โดยบริษัทฯ เชื่อว่านวัตกรรมทางสังคม หรือ Social Innovation ซึ่งกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปัจจุบัน จะสามารถตอบสนองและแก้ไขปัญหาสังคมเพื่อให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยนำเทคโนโลยีและแนวคิดใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้

SDG 9: INDUSTRY, INNOVATION AND INFRASTRUCTURE

บริษัทฯ ได้ต่อยอดโครงการ GPSC Smart Farming ในพื้นที่บ้านห้วยขาบ อ.บ่อเกลือ จ.น่าน โดยร่วมมือกับ มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน ส่งมอบเครื่องคั่วกาแฟและโรงคั่วกาแฟ ให้กับ “วิสาหกิจชุมชนลั๊วะคอฟฟี่บ้านห้วยขาบ” และสมาชิกชุมชน จำนวน 60 ครัวเรือน เพื่อสร้างรายได้จากการมีผลิตภัณฑ์จากเมล็ดกาแฟเพิ่มขึ้นและจากการรับคั่วกาแฟให้กับหมู่บ้านข้างเคียง โดยไม่จำเป็นต้องนำออกไปคั่วนอกพื้นที่ ซึ่งต้องเดินทางเป็นระยะทางค่อนข้างไกล ส่งผลให้ชุมชนสามารถลดค่าใช้จ่าย ลดการใช้พลังงาน และยืนได้ด้วยตัวเองอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ขยายการดำเนินงานโครงการ GPSC Smart Farming ไปยังพื้นที่ EECi อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ด้วยการนำร่องปลูกเห็ดเยื่อไผ่โดยใช้นวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะเพื่อเพิ่มผลผลิต โดยมีสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มาช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการเพาะปลูกและการแปรรูปเห็ดเยื่อไผ่ ซึ่งสามารถนาไปใช้เป็นสารสกัดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางผสมกับสมุนไพรพื้นบ้าน รวมทั้งปรับปรุงสูตรเครื่องสำอางและจัดตั้งศูนย์แปรรูปเห็ดเยื่อไผ่เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางโดยใช้สารสกัดจากเห็ดเยื่อไผ่ที่ปลูกโดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เพาะเห็ด เพื่อสร้างอาชีพและกระจายรายได้สู่ชุมชนต่อไป

จากความร่วมมือระหว่าง บริษัทฯ และ วิทยาลัยเทคนิคนิคมอุตสาหกรรมระยอง ในการดำเนินโครงการ EV one-stop service ศูนย์ซ่อมรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรและติดตั้งสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อรองรับการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า นำมาสู่การถ่ายทอดองค์ความรู้และเพิ่มทักษะให้กับครูอาจารย์ และนักศึกษา ผ่านผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมไฟฟ้าของบริษัทฯ เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพและสร้างรายได้ และยังเป็นการลดมลพิษทางอากาศ สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี สอดรับกับนโยบายของ GPSC ที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) นอกจากนั้น ยังใช้เป็นศูนย์ฝึกภาคปฏิบัติของนักศึกษาสาขายานยนต์ไฟฟ้าในอนาคตอีกด้วย

โดยในปี 2567 ได้มีการจัดอบรมหลักสูตรระยะสั้นให้กับนักศึกษาและชุมชน จำนวน 2 รุ่น เกี่ยวกับการบำรุงรักษารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเบื้องต้นด้วยตนเอง พร้อมทั้งสนับสนุนอุปกรณ์/เครื่องมือและเสริมทักษะความรู้ให้กับบุคลากรของวิทยาลัยเทคนิคนิคมอุตสาหกรรมระยอง โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมอบรมทั้งสิ้น 108 คน ส่วนโมเดลสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ฝีมืออาชีวศึกษาแห่งแรกในจังหวัดระยอง ที่บริษัทฯ ให้การสนับสนุนนั้น ปัจจุบันได้กลายเป็นสถานีชาร์จรถไฟฟ้าให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการร้านกาแฟของศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการนักศึกษา

รูปแบบการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม

หน่วย ปี 2567
สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม (Cash Contributions) บาท 3,942,463
การบริจาคในรูปแบบของสิ่งของและบริการ (In-kind Giving) บาท 817,700
ค่าบริหารจัดการสำหรับกิจกรรมเพื่อสังคม (Management Overheads) บาท 9,272,216
มูลค่าเวลา - พนักงานที่อาสาสมัครระหว่างเวลาทำงาน (Time: employee volunteering during paid working hours) บาท 658,500

สัดส่วนงบประมาณด้านความรับผิดชอบต่อสังคม

ปรับปรุง ณ เดือนพฤษภาคม 2568

เนื้อหาข้างต้นจัดทำตามมาตรฐานการรายงานความยั่งยืน โดย The Global Reporting Initiative (GRI Standards) ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องโดยหน่วยงานภายนอกและให้ความเชื่อมั่นข้อมูลการรายงานในระดับจำกัด (Limited Assurance)