บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ จีพีเอสซี ตระหนักถึงความเสี่ยงและผลกระทบทางธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ว่าจะเป็น วาตภัย อุทกภัย ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และความแห้งแล้งที่ทวีความรุนแรงและมีความถี่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภัยพิบัติดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งการขาดแคลนน้ำในกระบวนการผลิตหรือความเสียหายของเครื่องจักรและระบบสาธารณูปโภค นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญต่อการใช้พลังงานที่ไม่ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) ผ่านการผลิตพลังงานจากพลังงานหมุนเวียน อันจะเป็นส่วนช่วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศและตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

ปัจจุบันประชาคมโลกให้ความสนใจต่อประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันเนื่องมาจากกิจกรรมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของมนุษย์ จึงได้ก่อตั้งกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ขึ้น โดยจากกรอบอนุสัญญาฯ ดังกล่าว จึงเกิดแนวทาง ข้อกำหนด และการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้รายงานการประเมินครั้งที่ 6 (The Sixth Assessment Report หรือ AR6)จากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change หรือ IPCC) ระบุว่า “การตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593นั้น ช้าเกินไปในการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนปฏิบัติอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นจุดที่มนุษย์ไม่สามารถฟื้นฟูผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศให้กลับมาสู่สภาพเดิมได้” ผลการศึกษาดังกล่าวส่งผลนานาประเทศมีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยซึ่งเป็นภาคีขององค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (National Determined Contributions: NDCs) โดยจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 40 ภายในปี 2573 มากไปกว่านั้นประเทศไทยจะก้าวสู่การเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2608 โดยสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) เป้าหมายที่ 13: การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) อีกด้วย ดังนั้น ในฐานะที่บริษัทฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก มีความมุ่งมั่นและยินดีในการสนับสนุนส่งเสริมและให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ท้าทายอย่างเคร่งครัด โดยมีนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศดังนี้

แนวทางการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
GRI 103-2

บริษัทฯ กำหนดนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อให้ทุกหน่วยงานตลอดห่วงโซ่อุปทานของกลุ่มจีพีเอสซี นำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตั้งแต่ช่วงการวางแผน ออกแบบ ดำเนินการ ตลอดจนสิ้นสุดการดำเนินงาน

นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการจัดการของบริษัทฯ ซึ่งมีประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่เป็นประธาน โดยได้มอบหมายให้ฝ่ายบริหารการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนองค์กรทำหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินงานตามนโยบายและกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีบทบาทและหน้าที่หลักดังนี้

  • ตรวจสอบและอนุมัติ กลยุทธ์การแก้ปัญหา ปัจจัยเสี่ยง โอกาสที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
  • ติดตามการนำไปใช้งาน และโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศให้เป็นไปตามขั้นตอน รวมถึงกระบวนการตัดสินใจทางธุรกิจ และ กำหนดค่าตอบแทนให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามโครงสร้างที่กำหนดไว้

นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้ส่วนบริหารความเสี่ยงองค์กร ภายใต้ฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและบริหารความเสี่ยง ทำหน้าที่ประเมินความเสี่ยงรวมถึงโอกาสของธุรกิจทางด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และรายงานทีมงานฝ่ายบริหารของบริษัทฯ ในทุก ๆ 6เดือน เพื่อเฝ้าติดตามบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจนและครอบคลุมทุกมิติของการดำเนินธุรกิจ

ผังการกำกับดูแลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ด้วยกระแสด้านการใช้พลังงานสะอาดส่งผลให้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) มีบทบาทอย่างมากในการดำเนินธุรกิจพลังงานไฟฟ้า บริษัทฯ จึงได้จัดตั้งกลยุทธ์เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศภายใต้แนวความคิด “การมุ่งสู่ธุรกิจไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์” ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และใช้ราคาคาร์บอนภายในองค์กร (Internal Carbon Price) ในการจัดการความเสี่ยงและแสวงหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อรับมือผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพ ดังนี้

ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เพิ่มประสิทธิภาพของระบบผลิต และการประยุกต์ใช้เทคโลยีใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) และเทคโนโลยีเชื้อเพลิงไฮโดรเจน

เพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ทั้งใน และต่างประเทศ

พัฒนาเทคโนโลยีระบบจัดเก็บพลังงานไฟฟ้า นวัตกรรมแบตเตอรี่ ระบบโครงข่ายอัจฉริยะ (Smart Grid)เพื่อตอบสนองการเพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน

ดำเนินการกักเก็บคาร์บอนผ่านการปลูกป่า และดำเนินโครงการชดเชยคาร์บอน

อื่นๆ อาทิ ดำเนินการศึกษากำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร เพื่อนำผลการศึกษาไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนในเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำเพื่อนำมาใช้ในองค์กร

4 Key Action Plans

Reduce Fossil Portfolio
  • Improve energy efficiency
  • Reduce coal Portfolio
  • Adopt Carbon Capture, Usage and Storage (CCUS) technology
  • Adopt Hudrogen (H2) as fuel
  • Adopt best practice operational Excellence
Grow Renewables

Green portfolio optimization, e.g.,

  • Hybrid renewable energy with Energy Storage System (ESS)
  • Green Hydrogen (H2)
Enhance Infrastructure
  • Smart grid, e.g., DR/EMS, micro grid, etc
  • Ennergy Storage System (ESS)
Trading/Offset Activity
  • Biological storage, e.g., reforesting
  • Negative emission texhnology

ทั้งนี้บริษัทฯ ดำเนินการภายใต้กลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านความต้องการของลูกค้าและสร้างความมั่นคงด้านพลังงานระยะยาว ตลอดจนกำหนดมาตรการเพื่อรับมือความเสี่ยงและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริษัทฯ ยังส่งเสริมการสร้างความตระหนักรู้และมีส่วนร่วมของพนักงานในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กรของกลุ่มจีพีเอสซี อาทิ การอบรมและให้ความรู้พนักงาน การอบรมให้ความรู้พนักงานเรื่องกลไกราคาคาร์บอน การมีส่วนร่วมในการประเมินความเสี่ยงและโอกาสด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การรณรงค์การลดการใช้พลังงานและประหยัดทรัพยากรในองค์กรเพื่อสร้างวัฒนธรรมที่ดีภายในองค์กร

GPSC Climate Strategy & Disclosure

การผลิตพลังงานจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม และพลังงานชีวมวล ล้วนเป็นพลังงานที่ใช้แล้วไม่หมดไป สามารถหมุนเวียนนำกลับมาใช้ใหม่ได้และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ เนื่องจากมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณน้อยอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับพลังงานที่ผลิตมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล

ด้วยเหตุนี้ เพื่อมุ่งสู่การใช้พลังงานที่ไม่ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) บริษัทฯ จึงเห็นความสำคัญในการเพิ่มสัดส่วนการผลิตพลังงานหมุนเวียน เพื่อเป็นส่วนขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำตามกลยุทธ์ขององค์กร S2: Scale-up Green energy การเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาด ทั้งจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และการบูรณาการพลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายระยะยาวในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายกำลังการผลิตให้เป็น 8,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573

GRI 102-15

ในปี 2564 บริษัทฯ ประเมินความเสี่ยงและโอกาสด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อจัดทำมาตรการรับมือต่อผลกระทบและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยบูรณาการเข้าสู่การบริหารจัดการความเสี่ยงองค์กร ภายใต้การดำเนินงานของคณะทำงานเพื่อพัฒนากรอบการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (Task Force on Climate-related Financial Disclosures) เพื่อพิจารณาประเมินความเสี่ยงในสองรูปแบบหลัก ซึ่งประกอบด้วยความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงในเชิงกายภาพ และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ นอกจากนี้บริษัทฯ ได้รายงานวิธีการวิเคราะห์ความเสี่ยงประกอบการประเมินความรุนแรง และโอกาสที่จะเกิด ผ่านกระบวนการวิเคราะห์พยากรณ์แนวโน้ม หรือ Scenario Analysis อีกด้วย

คณะทำงานบริหารการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนองค์กรจัดทำการระบุประเด็นความเสี่ยงให้ครอบคลุมในกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่คุณค่า อาทิ กลุ่มคู่ค้า(ต้นน้ำ) และกลุ่มลูกค้า(ปลายน้ำ) โดยพิจารณาจากข้อมูลดังนี้

  • หลักฐานทางทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุการเปลี่ยนในเชิงกายภาพจากผลการศึกษาจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change หรือ IPCC)
  • รายงานผลกระทบต่อกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าในระดับสากล
  • แนวโน้มการกำหนดนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศในประเทศจนถึงระดับสากล
  • แนวโน้มและความคาดหวังของกลุ่มนักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียด้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ

โดยบริษัทฯ ได้มีการจัดการประชุมพิจารณาการระบุความเสี่ยงภายในองค์กรเป็นประจำทุกปีเพื่อทบทวน ติดตาม และพิจารณาความเสี่ยงใหม่ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้

บริษัทฯ พิจารณาความรุนแรง และโอกาสที่จะเกิดขึ้นของผลกระทบในเชิงกายภาพอ้างอิงจากแบบจำลองสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เรียกว่า “เส้นตัวแทนความเข้มข้นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Representative Concentration Pathway (RCP)” ซึ่งเป็นการจำลองเหตุการณ์ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใช้อ้างอิงในรายงานการประเมินฉบับที่ 5 ของ IPCC โดยแบ่งออกเป็น 4 สถานการณ์ได้แก่ RCP2.6 RCP4.5 RCP6 และ RCP8.5 โดยแสดงระดับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ส่งผลต่อรังสีความร้อนบนพื้นผิวโลกทั้งหมดสี่ระดับ ซึ่งเป็นผลการคาดการณ์จากการดำเนินการตามนโยบายการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระหว่าง ค.ศ. 2000 ถึง 2100 ของนานาประเทศ

บริษัทฯ เลือกใช้สถานการณ์ RCP4.5 และ RCP8.5 ประกอบการพิจารณาความรุนแรง และโอกาสที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงประเมินมูลค่าความเสียหายทางการเงินที่อาจกระทบจากทางการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศผ่านการจัดประชุมพิจารณาความเสี่ยงในทุกๆ ปี นอกจากนี้การประเมินความรุนแรง และโอกาสในการเกิดความเสี่ยงต่างๆ จำเป็นจะต้องใช้สถานการณ์จำลองอื่นๆ เพื่อประกอบการพิจารณาเช่นกัน โดยบริษัทฯ เลือกใช้เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของผ่านการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดหรือ Nationally Determined Contributions (NDCs) ของประเทศในการใช้เป็นกรณีอ้างอิง

บริษัทฯ ได้จัดทำผลการประเมินความเสี่ยงทางกายภาพและการเปลี่ยนผ่านสำหรับปี 2564 และปี 2569 โดยมีการกำหนดประเด็นความเสี่ยง ผลกระทบ แนวทางการรับมือ และการปรับตัวดังนี้

ลำดับความเสี่ยงที่มีระดับความรุนแรงและความถี่ในการเกิดจากมาก – น้อยปี 2564 ได้แก่
  • ข้อบังคับควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศ
  • การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค
  • การกำหนดราคาภาษีคาร์บอน
  • พายุ และฟ้าผ่า
  • ความคาดหวังของกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย
ลำดับความเสี่ยงที่มีระดับความรุนแรงและความถี่ในการเกิดจากมาก – น้อยในปี 2569 ได้แก่
  • ข้อบังคับควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศ
  • การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค
  • การกำหนดราคาภาษีคาร์บอน
  • ความคาดหวังของกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย
ประเด็นความเสี่ยง ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น แนวทางการรับมือ ปรับตัว
และโอกาสในการบริหาร
จัดการเชิงธุรกิจ
ความเสี่ยงด้านกายภาพ
น้ำท่วม
  • พนักงาน และคู่ค้าไม่สามารถเดินทางมาทำงาน และส่งมอบสินค้า จนไปถึงการหยุดกิจการชั่วคราวในกลุ่มของคู่ค้า
  • น้ำท่วมส่งผลให้บริษัทฯจำเป็นต้องหยุดการดำเนินธุรกิจชั่วคราว
  • ในกรณีที่บริษัทฯหยุดดำเนินการอาจมีค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้า และค่าปรับสำหรับลูกค้าหรือคู่ค้าเป็นต้น
  • ในกรณีของเขื่อน จะมีปัญหาเรื่องการเพิ่มขึ้นของกากตะกอน ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำลดลงแล้ว และเพิ่มโอกาสการเกิดความเสียหายแก่ใบพัดใต้เขื่อน
  • ตรวจสอบ วิเคราะห์ ทบทวนพื้นที่ปฏิบัติการทั้งหมดของกลุ่มบริษัทฯ ว่าอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อภัยน้ำท่วมมากน้อยแค่ไหน
  • จัดทำแผนรับมือปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงจัดเตรียมงบประมาณสำหรับสร้างแนวกั้นน้ำท่วม และระบบป้องกันน้ำกัดเซาะในพื้นที่ปฏิบัติการ
น้ำแล้ง
  • ผลจากศึกษาทางวิทยาศาสตร์โดยอ้างอิงจากแบบจำลองสภาพภูมิอากาศในอนาคตระบุว่า จังหวัด ระยอง และ ชลบุรีจะได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในระดับปานกลางเนื่องจากมีแนวโน้มปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
  • เมื่อคลังเก็บน้ำมีระดับน้ำลดลงจนถึงขาดแคลน การดำเนินงานของบริษัทฯ จะหยุดชะงักเนื่องจากไม่มีน้ำสำหรับหล่อเย็นในโรงผลิตไฟฟ้า
  • บริษัทฯ อาจมีความจำเป็นในการเช่าอุปกรณ์เครื่องจักรสำหรับเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดเพื่อใช้ในการหล่อเย็น
  • ติดตั้งระบบรีเวิสออสโมซิส (RO) สำหรับเปลี่ยนน้ำทะเลบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ปฏิบัติการเป็นน้ำจืดสำหรับใช้ในช่วงเวลาขาดแคลนน้ำ
  • จัดงบประมาณสร้าง คลังน้ำเพิ่มเติม รวมถึงระบบจัดเก็บน้ำฝนสำหรับใช้ในฤดูแล้ง
พายุ และฟ้าผ่า
  • กรณีศึกษาจากเหตุการณ์ฟ้าผ่าในอดีตของบริษัทฯ ฟ้าผ่าส่งผลให้หม้อแปลงผลิตไฟฟ้าทำงานผิดปกติซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอื่นๆตามมา เช่น ความบำรุงรักษาความเสียหายระบบไฟฟ้า การหยุดชะงักของกระบวนการผลิต
  • จัดเตรียมแผนสำรองเพื่อตอบสนองหลังจากเกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าพื้นที่ปฏิบัติการ
  • พัฒนา ศึกษา ระบบการป้องไฟฟ้าลัดวงจรจากเหตุการณ์ฟ้าผ่า
  • อบรมพนักงานในพื้นที่ปฏิบัติ และจัดการซ้อมแผนรับมือจากเหตุการณ์ไฟฟ้าขัดข้อง
  • ติดตาม และพัฒนาศักยภาพของแผนการรับมือฟ้าผ่า และไฟฟ้าขัดข้อง เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ห่วงโซ่อุปทานให้น้อยที่สุด
อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่สูงขึ้น
  • เมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยของพื้นผิวสูงขึ้นประสิทธิภาพของการผลิตไฟฟ้าจะต่ำลง
  • ประสิทธิภาพในการหล่อเย็นจากคลังน้ำจะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด จนก่อให้เกิดปัญหาการใช้น้ำเพิ่มขึ้น
  • น้ำในคลังจะมีอัตราการระเหยเพิ่ม ซึ่งอาจะก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำได้
  • ตรวจสอบการทำงานของเครื่องจักรภายในพื้นที่ปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง
  • มองหาพื้นที่ใหม่ในการลงทุนเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าที่ไม่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงของปัญหาอุณหภูมิพื้นผิวที่สูงขึ้น
ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนผ่าน
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค
  • เนื่องจากสถานการณ์ และความกดดันเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากทั่วโลก ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความสนใจในการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้น โดยหากไฟฟ้าที่ผลิตจากบริษัทฯยังคงมีสัดส่วนมาจากพลังงานฟอสซิลอยู่มาก จะส่งผลต่อปริมาณจัดซื้อ และความพึงพอใจลดลง และอาจจะกระทบต่อรายได้ของบริษัทฯ
  • บริษัทฯ ลงทุนเพิ่มสัดส่วนพลังงานไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนผ่านการเข้าถือหุ้นบริษัทพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ ส่งผลให้มีกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น
  • บริษัทฯ ลงทุนในการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรมเพื่อรองรับธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคตเช่น ระบบกักเก็บพลังงาน และระบบการจัดการพลังงาน
ข้อบังคับควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศ
  • ประเทศไทยมีแนวโน้มออกข้อบังคับในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใน3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับบริษัทในกลุ่มธุรกิจไฟฟ้า เรื่องการสำรองเงินสำหรับชดเชยจำนวนก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยเกินข้อกำหนด
  • บริษัทฯ เข้าร่วมการทำกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ โดยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ปฏิบัติการ ซึ่งก่อให้เกิดคาร์บอนเครดิตสำหรับซื้อขายในอนาคต ด้วยเหตุนี้บริษัทฯคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้จากโอกาสที่เกิดขึ้นได้สูงถึง 6,000 ล้านบาท
  • บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายระยะยาวในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนผ่านการเข้าถือหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ อาทิ ไต้หวัน อินเดีย และเวียดนาม
การกำหนดราคาภาษีคาร์บอน
  • ประเทศไทยมีแนวโน้มจะกำหนดภาษีคาร์บอนภายใน3-5ปี ข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลต่อบริษัทฯ เนื่องจากมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิล และมีแนวโน้มที่จะโดนค่าปรับจากภาษีคาร์บอน
ความคาดหวังของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
  • กลุ่มนักทุนรายใหญ่ในระดับสากลมีความคาดหวังต่อบริษัทฯ ที่ลงทุนนั้น จะต้องมีแผนการจัดการปัญหาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ซึ่งหากบริษัทฯ ยังคงมีสัดส่วนของพลังงานฟอสซิลอยู่ อาจจะส่งผลให้กลุ่มนักลงทุนเพิกถอนการลงทุนจากบริษัทฯ
  • บริษัทฯ เข้าร่วมการประเมินตัวชี้วัดธุรกิจคาร์บอนต่ำและยั่งยืน ดำเนินการโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 4 บริษัทที่ได้รับผลประเมินในระดับ “ยอดเยี่ยม”ผ่านการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่โดดเด่น ซึ่งจะสร้างความไว้วางใจแก่กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ

บริษัทฯ ได้ศึกษาในการนำราคาคาร์บอนภายในองค์กร (Internal Carbon Pricing: ICP) ซึ่งเป็นการกำหนดมูลค่าของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นตัวเงิน เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมรับมือความเสี่ยงและผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาการลงทุนโครงการใหม่ ๆ ในอนาคต เพื่อใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการดำเนินการสู่การดำเนินงานคาร์บอนต่ำในระยะยาวต่อไป ซึ่งบริษัทได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 6 บริษัทแรกของประเทศไทยที่ได้รับการสนับสนุนด้านเทคนิค (Technical Supports) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือที่ได้ร่วมมือกับธนาคารโลก (World Bank) ในการเสริมสร้างศักยภาพ พัฒนา และประยุกต์กลไกกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร (ICP) ที่เหมาะสมกับบริบทและกลยุทธ์ขององค์กรและสนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีแนวทางการดำเนินงานใน 3 กิจกรรม ดังนี้

การใช้ราคาเงา (Shadow Price) ในการประเมินความเสี่ยง และผลกระทบของราคาคาร์บอนต่อกําไรของบริษัทฯ ในอนาคต

การใช้ราคาเงา (Shadow Price) เป็นหนึ่งใน เกณฑ์การตัดสินใจการลงทุนโครงการ (CAPEX)

การใช้ราคาคาร์บอนเป็นหนึ่งในเกณฑ์การตัดสินใจค่าใช้จ่าย ในการดําเนินงาน (OPEX)

บริษัทฯ ได้จัดตั้งคณะกรรมการและคณะทำงานรับผิดชอบโครงการกำหนดราคาคาร์บอนในองค์กรและการลงทุนเพื่อการลดก๊าซเรือนกระจก กลุ่มจีพีเอสซี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวางแผนการและติดตามดำเนินงานการใช้ราคาคาร์บอนองค์กรให้เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์ทางการเงินและแนวทางการลงทุนสีเขียว (Green Finance) และให้ข้อคิดเห็นในการพัฒนาแนวปฏิบัติในการดำเนินงาน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการกำหนดราคาคาร์บอน รวมถึงเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนการดำเนินงานกำหนดราคาคาร์บอนในองค์กรระยะ 10 ปี โดยเริ่มดำเนินการวางแผนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 และวางแนวทางการดำเนินการให้เหมาะสมภายใต้ระยะเวลาที่กำหนด โดยประยุกต์ใช้กลไกราคาคาร์บอนในองค์กร 3 รูปแบบ ได้แก่ ราคาที่กำหนดจากจำนวนเงินที่บริษัทฯ ใช้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Implicit Price) ราคาจากการตั้งสมมุติฐานของราคาก๊าซเรือนกระจกหรือราคาเงา (Shadow Price) รวมถึงการกำหนดและจัดเก็บค่าธรรมเนียมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ละหน่วยธุรกิจในองค์กร (Internal Carbon Fee/ Internal Trading System) ให้เกิดประโยชน์และครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทุกขอบเขตการปล่อย ดังนี้

ระยะสั้น (2564-2565 ระยะยาว (2566-2573)
วัตถุประสงค์
เพิ่มทักษะ และความเชี่ยวชาญในการใช้งานราคาคาร์บอนภายในองค์กร
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทฯ และใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน
ชนิดของก๊าซเรือนกระจกที่ครอบคลุม
ก๊าซเรือนกระจกทางตรง (Scope 1) และก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (Scope 2)
ก๊าซเรือนกระจกทางตรง (Scope 1) ก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (Scope 2) และก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (Scope 3)
ขอบเขตในการใช้งาน
กระบวนการลงทุน (investment decision)
กระบวนการลงทุน (investment decision)
และการผลิต (Operation Decisions)
ชนิดของราคาคาร์บอนองค์กร
Implicit Price
Shadow Price
Shadow Price
Internal Carbon Fee / Internal Trading System

ในปี 2564-2565 บริษัทฯ นำราคาเงา (Shadow Price) มาใช้พิจารณาประกอบการตัดสินใจสำหรับการลงทุนใหม่ ที่ครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบข่ายที่ 1 และ 2 ผ่านการร่วมมือกันระหว่างกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไฟฟ้า นอกจากนี้บริษัทฯ มีแผนจะพัฒนาเครื่องมือ ขยายแผนการจัดเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในองค์กร และเส้นโค้งต้นทุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหน่วยสุดท้าย เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และบรรลุเป้าหมายระยะยาวในการลดก๊าซเรือนกระจกที่บริษัทฯ กำหนดไว้

ในปี 2564 บริษัทฯ เข้าร่วมการประเมินตัวชี้วัดธุรกิจคาร์บอนต่ำและยั่งยืน (Low Carbon and Sustainable Business Indexes: LCSi) ที่ดำเนินการโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดของธุรกิจที่ใส่ใจต่อการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยใช้กลไกการบริหารจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพและคำนึงถึงความสมดุลทั้ง 3 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม รวมถึงมีการบริหารจัดการและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนายั่งยืนของประเทศ ซึ่งสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับองค์กรอื่น ๆ โดยในปี 2564 บริษัทฯได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 4 บริษัทที่ได้รับผลประเมินในระดับ “ยอดเยี่ยม” ผ่านการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์หรือ (Life Cycle Assessment: LCA) การจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint Product: CFP) การเข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐาน ของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) การสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการบรรลุเป้าหมายไม่มีของเสียส่งไปกำจัดในหลุมฝังกลบ (Zero-waste to landfill) เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯ มีการบริหารจัดการในกลุ่มประเด็นที่มีผลกระทบต่อบริษัทฯ และผู้มีส่วนได้เสียในประเด็นต่าง ๆ ครอบคลุมทุกมิติความยั่งยืน ดังนี้

Energy Mix
Emission Reduction
Contribution to Decarbonization
Innovation
Decentralized
Disruptive Technology
Energy Policy & Regulation
Customer's Ability to Control and Make a Choice
Customer Data and Information Privacy
Natural Disasters
Efficiency of Operations
Workforce Planning
External Transparency to Build Credibility
Internal Communication
Training for Current Employees
Diversity and Equal Opportunity
Labour Rights
Board of Directors
Code of Conduct
Crisis and Risk Management
Personal Safety and Health
Waste
Community Relationship
Community Involvement and Development Project to Improve Livelihood
Manage Supply Risks
Leverage Opportunity with Suppliers and Contractors
Supplier Rights

บริษัทฯ เข้าร่วมและได้รับคัดเลือกเป็นหนึ่งในคณะกรรมการเครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย (Thailand Carbon Neutral Network หรือ TCNN) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคท้องถิ่น/ชุมชน ต่อยอดการลดก๊าซเรือนกระจก โดยมีเป้าหมายสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตามเจตนารมณ์ของประชาคมโลกที่ปรากฏในเป้าหมายของประเทศไทยว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การร่วมมือครั้งเป็นการสร้างอุปสงค์คาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER ที่จะส่งเสริมตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจภายในประเทศให้มีการขยายตัว และมีสภาพคล่องมากขึ้น บริษัทฯ เล็งเห็นว่าการเข้าร่วมในครั้งนี้จะเกิดประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างสมาชิก ในการศึกษาความเป็นไปได้ ศักยภาพความพร้อม แนวทางการดำเนินงาน และการประกาศเป้าหมายคาร์บอนนิวทรัลในระดับองค์กร และเสริมสร้างประโยชน์ร่วมด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนจากกิจกรรมและโครงการลดก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นและชุมชน ผ่านความร่วมมือกับภาคธุรกิจเอกชนในเครือข่าย เช่น การร่วมมือสนับสนุนกิจกรรมจากธรรมชาติที่ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้เข้าร่วมเครือข่าย Carbon Market Club และกลุ่ม RE100 Thailand Club ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในฐานะกลุ่มธุรกิจพลังงานในการรณรงค์การดำเนินกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อแสดงความพร้อมในการปรับตัวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ปรึกษาหารือภายในกลุ่มสมาชิกเรื่องการซื้อขาย คาร์บอนเครดิต Carbon credit และ เครดิตพลังงานหมุนเวียน I-REC ร่วมถึงการรับรู้ข่าวสาร วิธีการขอขึ้นทะเบียน และนโยบายที่เกี่ยวข้องการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศอีกด้วย

1. กลุ่มคู่ค้า

บริษัทฯ จัดทำนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และนโยบายการจัดการคู่ค้าอย่างยั่งยืน โดยกำหนดคุณสมบัติเฉพาะในการคัดเลือกคู่ค้า อาทิ การใช้พลังงานสะอาดในพื้นที่ปฏิบัติงาน ประสิทธิภาพในการผลิต การจัดการขยะที่ถูกต้องตลอดจนถึงการนำกลับมาใช้ใหม่ โดยให้คู่ค้าทุกรายที่จัดซื้อหรือจัดจ้างกับบริษัทฯเข้าร่วมลงนามรับทราบและปฏิบัติตามข้อกำหนด เพื่อส่งเสริมให้คู่ค้าตอบสนองต่อการบริหารจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ในปี 2564 คู่ค้าทุกราย ได้ลงนามรับทราบในข้อพึงปฏิบัติอย่างครบถ้วน เพื่อสร้างผลักดันในการจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการายงานผลประกอบการประจำปีของบริษัทฯ

2. กลุ่มลูกค้า

ด้วยความต้องการทางการใช้พลังงานที่เปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น บริษัทฯ จึงขยายกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องเพื่อรอบรับความต้องการของผู้บริโภคและก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ในปี 2564 บริษัทฯ ให้บริการติดตั้งระบบการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาแก่ลูกค้ากว่า 873.84 KWp ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบข่ายที่ 2 ประมาณ 725 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี มากไปกว่านั้นยังมีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบลอยน้ำที่สามารถตอบสนองความต้องการและสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า จากการจัดการพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ ลดอัตราการระเหยของน้ำในคลังน้ำของลูกค้า โดยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 830 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ท้ายที่สุดนี้บริษัทฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญในการเป็นผู้มอบโอกาสในการใช้พลังงานหมุนเวียนแก่กลุ่มลูกค้า และตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากกว่า 1,555 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

3. กลุ่มพันธมิตร (Partner)

บริษัทฯ มุ่งเน้นและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมแบบเปิดร่วมกับกลุ่มพันธมิตร โดยเน้นการผสมผสานองค์ความรู้ทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อร่วมพัฒนานวัตกรรมระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าเพื่อเติมเต็มส่วนประกอบสำคัญในการติดตั้งระบบพลังงานหมุนเวียน ที่จัดว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบพลังงานหมุนเวียนให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นเพื่อเป็นผู้นำด้านการผลิตระบบกักเก็บพลังงาน และมีจุดประสงค์หลักที่จะส่งมอบให้แก่โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในและนอกประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการเลือกใช้พลังงานหมุนเวียนภายในกลุ่มธรุกิจอื่นๆที่มีมากขึ้น

4. กลุ่มชุมชน

บริษัทฯ ร่วมมือกลุ่มปตท.ในการพัฒนาโครงการเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) โดยมีจุดประสงค์ในการส่งเสริมสร้างอาชีพให้คนในชุมชน แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ที่ถ่ายทอดโดยพนักงานของบริษัทฯ และสนับสนุนในการติดตั้งพลังงานหมุนเวียนในระบบสูบน้ำและระบบไฟฟ้าภายในพื้นที่เพาะปลูก เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรกรรม อีกทั้งยังสร้างทักษะความสามารถที่เป็นประโยชน์ให้แก่บุคคลที่อาศัยอยู่ในชุมชนห่างไกลได้มีโอกาสเข้าถึงการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ จากพลังงานหมุนเวียน

ปรับปรุง ณ เดือน กุมภาพันธ์ ปี 2565

เนื้อหาข้างต้นจัดทำตามมาตรฐานการรายงานความยั่งยืน โดย The Global Reporting Initiative (GRI Standards) ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องโดยหน่วยงานภายนอกและให้ความเชื่อมั่นข้อมูลการรายงานในระดับจำกัด (Limited Assurance)